I & my stepdad ผิดไหมครับ...ถ้าผมจะรักพ่อ (Yaoi) - I & my stepdad ผิดไหมครับ...ถ้าผมจะรักพ่อ (Yaoi) นิยาย I & my stepdad ผิดไหมครับ...ถ้าผมจะรักพ่อ (Yaoi) : Dek-D.com - Writer

    I & my stepdad ผิดไหมครับ...ถ้าผมจะรักพ่อ (Yaoi)

    การแอบรักใครสักคน มันอาจจะทำให้เราปวดใจบ้างที่เขาไม่ได้รักเราตอบ แต่ถ้าเห็นคนที่เรารักมีความสุขในรูปแบบของเขา มันก็ทำให้เราสุขใจไม่ใช่หรือ...

    ผู้เข้าชมรวม

    4,548

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    4.54K

    ความคิดเห็น


    19

    คนติดตาม


    22
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 พ.ย. 54 / 11:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                       

                ...
    I look at the window

    Wanna know who youre thinking to

    No  matter  how I feel blue

    Ill stand beside  you always

             

    การแอบรักใครสักคน  มันอาจจะทำให้เราปวดใจบ้างที่เขาไม่ได้รักเราตอบ  แต่ถ้าเห็นคนที่เรารักมีความสุขในรูปแบบของเขา  มันก็ทำให้เราสุขใจไม่ใช่หรือ...

     

    ...ความรักของผมก็คงเหมือนกับก้อนเมฆที่ได้แต่ลอยอยู่บนฟ้า  ไม่มีทางได้มาสัมผัสกับผืนป่านอกจากจะกลั่นตัวมาเป็นฝนเสียก่อน  แต่หากนั่นเป็นสิ่งที่ก้อนเมฆสามารถทำให้กับป่าไม้ได้...



    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

        

                เรื่องนี้เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำของผมที่เกี่ยวกับตัวผมและผู้ชายคนที่ผมเคารพรักและอาลัยอาวรณ์อย่างล้นเหลือ...จวบจนลมหายใจสุดท้ายของเขา

                                            ----------------------------------------

                เช้าวันหนึ่ง  ขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการซ่อมจักรยานคู่ใจที่สายเบรกขาด  เสียงหวานนุ่มนวลที่สุดในความคิดของผมก็ดังขึ้นทางด้านหลัง

                คิน  มาหาแม่หน่อยสิลูก  แม่มีเรื่องจะคุยด้วย

                ผมลุกขึ้นอย่างงง ๆ ตรงไปหาแม่  ที่ตอนนี้มีสีหน้าลำบากใจกับบางเรื่อง

                แม่มีอะไรหรือครับ

                แม่สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะถามผมว่า

                คินจะว่าอะไรไหมหากแม่จะแต่งงานใหม่กับคุณไพรสณฑ์

                คำพูดนี้เหมือนกับกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าตัวผม  ผมได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่  ก่อนจะได้สติกลับคืนมา

                เอ่อ...ผม...

                ผมพูดตะกุกตะกัก  พร้อมกับหลบสายตาของแม่

                ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะว่าอะไรหรอก  พูดมาเถอะลูก

                ผมหลับตา  พลางครุ่นคิดหาสาเหตุที่แม่แต่งงานใหม่กับผู้ชายที่ผมไม่รู้จักมักคุ้น...เอ...เดี๋ยวก่อน  เหมือนผมจะรู้จักผู้ชายคนนี้นะ

                แล้วความคิดผมก็ลอยไปถึงงานทำบุญครบรอบ 10 ปีการเสียชีวิตของพ่อ  ขณะที่ผมแจกน้ำแก่บรรดาแขกเหรื่อในงาน  ไอ้เจ้าไม้ลูกชายคนเล็กของลุงมันแกล้งขัดขาผม  ทำให้ผมล้มคว่ำไม่เป็นท่า  หลังจากนั้นก็มีใครบางคนมาพยุงผมขึ้น

                ไม่เป็นไรนะสาวน้อย

                ผมเกือบจะขอบคุณเขาอย่างเต็มหัวใจแล้วหากไม่ได้ยินคำที่มันตอกย้ำใบหน้าหวานคมเหมือนผู้หญิงของผม  จากที่จะรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเลยกลายเป็นคลุ้มคลั่งอยากตายตามพ่อไปเพื่อให้พ้นจากความอับอายนี้

                ผมไม่เป็นไรครับ!

                ผมตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ  เนื่องจากผมแค้นเจ้าลูกน้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ยิ่งได้ยินคำพูดแบบนี้เข้ามันยิ่งทำให้ผมเดือดฉ่า  ชายผู้นั้นทำหน้าประหลาดใจกับบางสิ่ง  ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

                อ้าว  เป็นผู้ชายหรอกหรือ  ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ

                เอ่อ  ไม่เป็นไรครับ ผมตอบไปอย่างส่ง ๆ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกผิด  แต่ในใจยังไม่หายเคือง

                ชายคนนั้นเดินกลับไปยังที่นั่งของเขา  ซึ่งอยู่ข้างหลังเก้าอี้ของแม่ผม  เขาอยู่ใกล้กับแม่ผมตลอดจนกระทั่งเสร็จพิธี  พอผมถามแม่ว่าเขาเป็นใครแม่ก็บอกว่าเป็นเพื่อนของแม่ที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ  ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากคิดว่าเขาเป็นเพื่อนแม่  แต่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะมาเป็นว่าที่คุณพ่อของผม!!!

                ผมยังไม่พร้อมที่จะมีพ่อคนใหม่ครับ ผมตอบหลังออกมาจากอดีตที่ยังจำฝังใจ

                เป็นเพราะว่าอะไรหรือลูก

                คือผมยังไม่รู้จักนิสัยของเขาดีเลย  ผมกลัวว่าผมกับพ่อคนใหม่จะเข้ากันไม่ได้  แม่บอกผมก่อนว่าคุณไพรเขาเป็นคนอย่างไรบ้าง

                เขาก็...เป็นคนดี  มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่  ไม่เสเพล  ถึงจะดูหน้าตาเซ่อ ๆ ทำอะไรเชื่องช้าไปหน่อยก็เถอะ

                ผมขำออกมาหลังจากที่แม่พูดจบ...จริงอย่างที่แม่ว่า...ตาแก่นั่นดูเอ๋อ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ยอมย้อม ใส่แว่นก็หนาเตอะ  ที่สำคัญคือดันตาถั่วเห็นผมเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก...อืมม์  ดูเหมือนว่าผมจะคิดแผนอะไรบางอย่างออกแล้ว

                งั้น...ผมเสนอความคิดนี้...ผมจะให้แม่ลองคบกับเขาไปอีกสักระยะก่อน  ถ้าผมกับเขาเข้ากันได้แม่ค่อยแต่งงาน...ว่าอย่างไรครับ

                อืมม์  เข้าท่าดีนะลูก  แม่จะได้สบายใจที่ลูกกับพ่อเข้ากันได้  เพราะส่วนที่แม่เป็นห่วงคือตรงนี้ล่ะ

                ผมยิ้มให้แม่...เรื่องที่เห็นแม่สบายใจขึ้น...ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือ

                ...ตาแก่เอ๋ย  แล้วเราจะได้รู้กัน  หึๆๆ...

      -------------------------------------------------------------------------------------------------------

                ในที่สุด  บ้านของผมก็เกือบมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 คน เนื่องจากคุณไพรยังไม่ได้แต่งงานกับแม่ผมอย่างเป็นทางการ  เขาจึงเข้าๆ ออกๆ บ้านผมอยู่เรื่อยมา  การที่เขามาอาศัยกับผมและแม่เป็นการทำให้ผมรู้จักและเข้าใจเขามากขึ้น (รวมถึงการแกล้งเขาด้วย  เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ  ส่วนผมก็คือลูกลิงดี ๆ นี่เองสำหรับเขา)  นอกจากนี้ก็เป็นการทำให้ผมเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น  จากที่รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ เพราะผมต้องพยายามเค้นสมองที่ไม่ตอบสนองภาษาอังกฤษของผมฟังสิ่งที่เขาพูดเป็นประจำเลยล่ะ (ซึ่งอันนี้ทำให้ผมงงว่าผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาได้อย่างไร...สงสัยมั่วข้อสอบอังกฤษถูกมั้งเนี่ย)

                                            -------------------------------------------

                “Mekint , Why your room is so mess?”

                ???

                “I repeat , why your room is so mess?”

                ????????

                “Don’t you understand?”

                ...ปัดโธ่  ก็ผมมันเด็กวิทย์  ไม่ใช่เด็กอังกฤษโว้ย!!!...

                ฉันถามว่า ทำไมห้องเธอมันรกจริง ในที่สุดแล้วเขาก็พูดภาษาไทยออกมา

                เฮ้อ...คุณพูดแค่นี้ผมก็รู้แล้ว  เล่นพูดภาษาอังกฤษ ผมจะฟังรู้เรื่องไหมเล่า...เสียเวลาอีกต่างหาก...เอาเป็นว่าผมจะทำความสะอาดภายใน 10 นาที

                เขายังนิ่งเฉย  กรอบแว่นเป็นประกายจนผมนึกกลัว

                “I…I will clean up in 10 minutes”

                ผมพูดอังกฤษตอบอย่างกระท่อนกระแท่น  เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะเดินจากไป  ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง  เฮ้อ...ไอ้เมฆินทร์เอ้ย...เมื่อไหร่แกจะพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ซักทีนะ  ผมคิดก่อนจะลงมือเก็บกวาดห้องของผมเอง  ซึ่งมันก็รกจริง ๆ อย่างที่คุณป่าไม้เขาบอก  เพราะห้องผมเต็มไปด้วยเครื่องยนต์กลไก  ตำราวิทยาศาสตร์หนาเป็นนิ้ว  เครื่องมือทางการช่าง  คู่มือการใช้งาน ฯลฯ...เฮ้อ...คิดแล้วเหนื่อย  ทำไมห้องผมมีของเยอะขนาดนี้นี่

                ติ๊ดๆๆ ตี๊ๆ ติ๊ดๆๆ

                เสียงข้อความโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น  ผมหยิบขึ้นมากดปลดล็อกเครื่อง และดูข้อความที่ได้รับ

                ขอฟิวส์อันใหญ่อย่างเร่งด่วน เพราะเห็นเธอแล้วไฟชอร์ต

                ผมกลอกตาอย่างเบื่อ ๆ แล้วกดลบข้อความนั้น...ไอ้รุ่นพี่พวกนี้มันไม่มีอะไรจะทำกันหรือไงวะถึงได้ส่งข้อความมาจีบผมไม่หยุดนับตั้งแต่ผมเข้ามหาวิทยาลัย  ส่วนสาเหตุของเรื่องก็ไม่พ้นหน้าตาของผมเอง  ที่มักจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจของรุ่นพี่ผู้ชายตั้งแต่ปี2 ยัน ปี4  และเป็นเป้าสายตาอันร้อนผ่าวของสาว ๆ ในคณะ...เอาเถอะ  ผมจะพยายามไม่ใส่ใจกับมันก็แล้วกัน...อืม...ตอนนี้ผมกำลังทำอะไรนะ...ใช่แล้ว...ผมกำลังปฏิวัติห้องของผมอยู่นี่นา

                ผมกวาดเก็บห้องจนเป็นระเบียบเรียบร้อยและพิจารณาผลงาน...ดูเรียบร้อยขึ้นเยอะ...แต่อีกไม่นานก็จะรกเหมือนเดิม  ฮ่าๆๆ

      -------------------------------------------------------------------------------------------------------

                ทุกเย็นหลังเลิกเรียน  ว่าที่คุณพ่อของผมจะจัดการติวเข้มภาษาอังกฤษให้กับผม  ดังนั้น  ผมจึงพยายามที่จะกลับช้า ๆ และเพื่อไม่ให้เขาค่อนขอดได้ว่าใช้เวลาเปล่าประโยชน์  ผมจึงไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยกับไอ้เจ้าลมหรือไอ้วายุเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่มัธยมปลายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องที่เรียนกัน  ลมมันเป็นคนที่เข้าขากับผมเกือบทุกเรื่อง  เราเลยซี้ปึ้กมาจนถึงทุกวันนี้

                เฮ้ย...ไอ้คิน  ตั้งแต่แม่แกคบแฟนใหม่ได้เจ็ดวันนี่แกชวนข้าเข้าห้องสมุดทุกวันเลยว่ะ  มีอะไรหรือเปล่าวะ ลมถามผมด้วยความสงสัย

                อ๋อ  คุณไพรแค่จะสอนภาษาอังกฤษให้น่ะ  เพราะแม่ข้าดันบอกว่าข้าตกอังกฤษ...ข้าก็แค่หนีเรียนเท่านั้นเอง

                บ้าเรอะ...นั่นโอกาสของแกแล้วนะเว้ย  ต่อไปพวกตำราภาษาอังกฤษจะเป็นหนังสือสำคัญมาก  แกอ่านไม่ออกก็คือไม่รู้เรื่องนะ ลมทำหน้าตกใจ  ผมได้แต่ถอนใจ

                เรื่องนั้นข้ารู้  แต่ข้าไม่มีความชอบภาษาอังกฤษเลย  แล้วข้าจะเรียนได้ยังไงล่ะ

                ก็คงต้องทำใจแกให้ชอบก่อน  มันอาจจะทำยาก  แต่ก็คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป  ข้าเองก็ทำแบบนี้อยู่เหมือนกัน  ตอนที่เรียนอังกฤษกับพ่อข้าใหม่ ๆ ข้าก็เหมือนแกนั่นแหละ  บางครั้งเรื่องที่เราไม่ชอบใจอาจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราในภายภาคหน้า

                อืมม์ พรุ่งนี้ข้าจะลองดู ผมตอบ

                แต่ข้าว่าแกไปเรียนตั้งแต่วันนี้เลยเหอะ ขาดหลายวันแล้วไปตะบี้ตะบันเรียนใกล้ ๆ สอบมันไม่คุ้ม  เดี๋ยวช้าไปส่งแกแล้วก็จะกลับบ้านข้าละ ลมไม่พูดเปล่า  ยังดึงแขนผมให้ลุกขึ้นด้วย  ผมจำต้องลุกตามไปอย่างเสียมิได้...เรื่องที่ผมไม่กลับบ้านคนเดียวนั้นเป็นเพราะว่าระหว่างทางก่อนถึงบ้านผมนั้นค่อนข้างมีโจรชุม  ผมจึงต้องมีเพื่อนร่วมทางประมาณว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายทำนองนั้น

                แกน่าจะกลับเร็ว ๆ นะ แถวนี้โจรยิ่งเยอะอยู่  กลับช้าแบบนี้ต่อให้มีข้าอยู่ทั้งคนก็ไม่ไหวนา ลมพูดบ่นไประหว่างที่เดินทางกลับด้วยกัน

                ขอโทษด้วยแก  ทีหลังข้าจะไม่ทำอีกแล้วล่ะ ผมขอโทษมัน  พลางมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ

                เอ้อ ๆ ไม่เป็นไร  ดีเหมือนกัน  ข้าจะได้หนีหนี้ประจำตัวข้า

                เท่านี้แหละ  ผมหันควับมามองเจ้าลมด้วยความตกใจ

                เฮ้ย  นี่แกเล่นพนันด้วยเหรอวะ !!!

                ไม่ใช่อย่างงั้นโว้ย ! ฟังให้จบก่อนเดะ หนี้ประจำตัวข้านี่หมายถึงน้องเมย์ลูกสาวเจ๊เงินบ้านตรงข้ามข้า...ผู้หญิงอะไรไม่รู้  ตามจีบข้าอยู่เรื่อยเลย ลมบอก พลางส่ายหัวอย่างหน่าย ๆ

                อ้าว  ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่มีผู้หญิงมาสนใจ  อย่างงี้เขาถือว่าเสน่ห์แรงนะเว้ยจะบอกให้

                แต่ไม่ใช่กับคนนี้โว้ย...เธอตามจิกไม่ปล่อยตลอด 24 ชั่วโมงเลยว่ะ  เป็นแกแกรำคาญไหม ถามหน่อย

                เออ ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนแกนั่นแหละ...เอ้อ...ถึงบ้านข้าแล้ว  ไปก่อนนะเว้ย

                เออ  โชคดีว่ะ

                ผมไขประตูแล้วค่อย ๆ ย่องขึ้นไปบนห้องของผม  อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเสร็จแล้วจึงมาเรียนภาษาอังกฤษต่อกับคุณป่าไม้...อ้า  มันมาแล้ว  ชั่วโมงอันแสนน่าเบื่อ

                ...สำหรับอดีต  จะมีtense หลัก ๆ อยู่ 4 tense คือ past simple tense  จะใช้กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว  รูปประโยคคือ  ประธาน+กริยาช่องที่2  ส่วนกรรมจะมีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกริยาว่ากริยาต้องมีกรรมต่อท้ายหรือกริยาไม่ต้องมีกรรมต่อท้าย...

                คร่อก...ก...ก  ฟี้...

                ผ่าง ๆ ๆ !!

                จ้าก...ก...ก...ก...ก!!

                ผมร้องลั่นและสะดุ้งตื่นสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น  พอเหลียวหาที่มาของเสียงก็พบคุณป่าไม้ถือกล่องคุกกี้ที่เป็นโลหะยืนอยู่ข้าง ๆ

                คุณลูกศิษย์คร้าบบบ  ตื่น ๆๆ ผมจะสอนคุณต่อแล้ว

                คร้าบบ

                ผมขานตอบอย่างสะลึมสะลือและพยายามเบิกตามองสิ่งที่เขาสอนบนไวท์บอร์ด

                ไม่เห็นต้องใช้เสียงปลุกเลย  แค่เขย่าก็ตื่นแล้ว ผมบ่นอุบอิบ  แต่เหมือนเขาจะได้ยิน  เลยย้อนผมมาว่า

                ไม่ใช้เสียงเหรอ  ฉันว่ากรณีนี้ใช้ไม่ได้กับเธอนะ

                โอเคคร้าบบ  ว่าแต่คุณจะสอนผมถึงเมื่อไหร่เนี่ย ผมกล่าวอย่างยียวน

                จนกว่าเธอจะเก่งอังกฤษ

                คำตอบยียวนพอ ๆ กันทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายนิ่งไป

                อืมม์  เลยเวลามาเยอะแล้ว...เรามาเรียนกันต่อดีกว่า เขาบอก แล้วเริ่มสอนต่อไป  ผมได้แต่นั่งฟังเขาสอนไปเรื่อย ๆ ...ปู้โธ่ ! นึกว่าจะเลิกสอนแล้วเสียอีก

                                             --------------------------------------

                การเรียนการสอนจบลงเมื่อเวลาสามทุ่ม  ในหัวผมมึนไปหมด...ดูท่าผมจะต้องพยายามทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษให้มากกว่านี้เสียแล้ว  แต่ผมจะท้อเสียก่อนถึงฝั่งไหมนะ

                ผมล้มตัวลงนอน  ครุ่นคิดถึงการเรียนภาษาอังกฤษว่าต่อไปมันจะเป็นอย่างไร  ผมไม่อยากให้คุณไพรหมดกำลังใจในการสอน  เนื่องจากระหว่างที่เขาสอนผม  ผมเห็นว่าเขามีความตั้งใจที่จะสอนอย่างแท้จริง  เขาพยายามสอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า...ผมต้องตั้งใจเรียนให้เก่งภาษาอังกฤษให้ได้

      ------------------------------------------------------------------------------------------------------

                7 วันที่ผ่านมา  ผมจะเข้านอนด้วยสภาพที่อ่อนล้า  เนื่องจากวิชาภาษาอังกฤษของคุณป่าไม้ได้ดูดพลังชีวิตของผมไปครึ่งหนึ่ง  แต่เย็นวันนี้กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเริ่มชอบวิชานี้ขึ้นมา  เมื่อคุณป่าไม้ได้หอบกล่องใส่อะไรก็ไม่รู้มาวางหน้าโทรทัศน์  แล้วเปิดมันออก  ผมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตะลึงด้วยความตื่นเต้นดีใจ  เพราะภายในกล่องเต็มไปด้วยแผ่นดีวีดีหนังเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเคยดูในฉบับเสียงภาษาไทย  และที่สำคัญ  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมชอบเสียด้วย

                เอาล่ะ  วันนี้มาลองเรียนอังกฤษแบบใหม่กันบ้างดีกว่า  เอ้า เธอเลือกมาว่าจะดูเรื่องอะไร คุณป่าไม้บอกและเชิญชวนให้ผมเลือกแผ่นหนังมาเปิดดู

                ผมค้นภายในกล่องอย่างตื่นเต้น...โอ้โห  เรื่องที่ผมชอบมีเป็นสิบยี่สิบเรื่องเลย...ทั้ง James Bond ตั้งแต่ภาคดึกดำบรรพ์ยันภาคใหม่ล่าสุด  ,The last samurai , Forrest Gump, The Davinci code, The days after tomorrow, An inconvenient truth...โอ๊ย  สารพัดเกินบรรยายครับ  เมื่อรวมกับเรื่องที่ผมไม่รู้จักอีก 50 กว่าแผ่น  แต่ในที่สุด  ผมก็เลือก To sir with love ซึ่งเป็นเรื่องที่เก่าเกินรุ่นผมมาก  คุณป่าไม้ดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อผมเลือกที่จะชมเรื่องนี้  เขาถามผมว่า  เคยดูเหรอเรื่องนี้  นี่หนังสมัยฉันเด็ก ๆ เลยนะ

                ผมก็แค่อยากรู้  ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรครับ ผมตอบ

                เพียงเท่านี้เขาก็ไม่ว่าอะไร  ยอมเปิดเรื่องนี้ให้ผมดูแต่โดยดีแล้วนั่งข้าง ๆ ผม  ผมดูอย่างงง ๆ ในตอนแรก  เพราะเสียงเป็นภาษาอังกฤษ  ในระยะหลัง ๆ ผมเริ่มจับประเด็นของเรื่อง (อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก) ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ท่านหนึ่งในโรงเรียนที่ตั้งอกตั้งใจพร่ำสอนนักเรียนให้ประพฤติดี  แรก ๆ นักเรียนก็ไม่ใส่ใจกับคำสอนของอาจารย์จนท่านเหนื่อยใจ  แต่เมื่อนักเรียนเหล่านี้จบการศึกษา  พวกเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงสิ่งที่อาจารย์ทำในปีการศึกษาที่ผ่าน ๆ มาว่าอาจารย์มีความหวังดีต่อพวกเขามากแค่ไหน  ผมย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองเมื่อชมเรื่องนี้จบ...ตัวผมก่อนหน้านี้ก็คงเหมือนกับนักเรียนในเรื่อง  ที่โดดเรียน  ไม่ใส่ใจความรู้สึกของอาจารย์ว่าเป็นอย่างไรเมื่อตั้งใจมาสอนแต่นักเรียนไม่มาเรียน...เท่านี้เอง  ความรู้สึกผิดทั้งมวลก็ได้โถมทับตัวผม  ผมแอบสะอื้นอยู่เงียบ ๆ หวังจะไม่ให้คนข้าง ๆ เห็น  ถึงกระนั้นเขาก็จับได้อยู่ดีว่าผมร้องไห้

                เป็นอะไรไป  ทำไมถึงร้องไห้ เขาถาม

                ผม...ขอโทษครับ...ที่...ทำให้...คุณ...เสีย...ความรู้สึก

                หืมม์

                หมายถึง...ผมขอโทษครับที่โดดเรียน

                อ๋อ  เรื่องนั้นเองน่ะหรือ  ไม่เป็นไรหรอก  ฉันก็แค่ทดลองสอนดูว่าเธอควรจะใช้วิธีสอนอย่างไรเท่านั้นเอง  พูดง่าย ๆคือฉันแค่อยากรู้ว่าเธอเรียนภาษาอังกฤษแบบไหนได้สนุกที่สุด

                ...โอ้...ว่าที่พ่อผม...ช่างมีจิตวิญญาณของอาจารย์อย่างแรงกล้า...

                เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว  เป็นผู้ชายร้องไห้ด้วยเรื่องแค่นี้มันดูไม่ดีหรอกนะ

                ...เออ  จริงด้วย  ผมร้องไห้ทำไมนี่...ผมคิดแล้วปาดน้ำตาออก

                อืมม์  ดูท่าเธอจะเรียนอังกฤษจากภาพยนตร์ได้ดี  งั้นคราวหน้าก็เรียนแบบนี้ทุกวันนะ  อย่าลืมเอาสมุดมาจดศัพท์กับไวยากรณ์ด้วย

                ครับ !!”

                ผมรับคำ...ไชโย  ผมพ้นจากการเรียนอันแสนน่าเบื่อแบบที่ผ่านมาแล้ว

                โอเค  วันนี้ทดลองก่อน  พรุ่งนี้รอบปฐมฤกษ์ล่ะ

                เขาบอกแล้วปิดโทรทัศน์  ส่วนผมก็เตรียมตัวอ่านภาษาอังกฤษที่จะสอบย่อยใน 7 วันข้างหน้า  เรื่องสอบนี้ลมเป็นคนบอกผม  เนื่องจากผมแอบหลับในตอนที่อาจารย์ประจำวิชาบอกว่าจะสอบย่อยวิชานี้สำหรับนักศึกษาปีที่ 1 พอดี  ผมอ่านไปได้ไม่เท่าไรอาการของโรคเหงาหลับก็กำเริบ  ผมจึงเลิกอ่านแล้วเข้านอน  พลางคิดสะระตะไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบใหม่ของคุณป่าไม้...เอ้ย...คุณไพร (ผมยอมรับว่าตอนนี้นับถือเขาอย่างเต็มใจแล้วล่ะ) จนกระทั่งหลับไป

                                            ---------------------------------------

                ต้องยอมรับว่าการสอนภาษาอังกฤษแบบใหม่ทำให้ชีวิตของผมเป็นไปในทางที่ดีขึ้น  อย่างน้อยคะแนนสอบครั้งนี้ของผมก็ไม่ตกเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา  ถึงจะเฉียดครึ่งมาหน่อยหนึ่งก็เถอะ  ผมคิดอย่างมีความสุขขณะที่เรียนภาษาอังกฤษกับคุณไพร  แต่เพราะผมคิดเพลินไปหน่อยเลยไม่ได้ฟังคำถามที่เขาถามผม  จนเขาต้องพูดซ้ำเป็นรอบที่สามว่า

                คะแนนสอบครั้งนี้ได้เท่าไร

                ...โอ๊ย...โอย...ทำไมต้องถามเรื่องอันอัปยศแบบนี้ด้วยหนอ  ผมจะตอบว่าอย่างไรดีล่ะ...

                เอ่อ...คุณรับได้ไหมครับ  ถ้าผมจะบอกว่าผมได้เลยครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็มมาหนึ่งคะแนน

                ดวงตาหลังแว่นของเขาดูวาวขึ้น...ซวยแล้วผม

                อืม  ก็ยังดีที่ไม่ตกนะ  ถ้าขยันอีกหน่อยเธอก็จะได้คะแนนดีแน่นอน  ฉันเชื่ออย่างนั้น

                ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ว่าอะไรผม  มันทำให้ผมรู้สึกดีกับเขาอย่างทวีคูณ

                จุดประสงค์ของการเรียนวิชาต่าง ๆ คือ  เราสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน  การได้คะแนนดีเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น  ฉันต้องการแค่ให้เธอเรียนอย่างลึกซึ้ง  แล้วทุกอย่างจะดีเอง

                เขายิ่งพูด  ผมยิ่งรู้สึกดี ๆ กับเขาอย่างยกกำลังร้อย...เอาล่ะ  ผมเข้ากันได้กับคนที่แม่ผมรัก  แล้วพวกเขาจะแต่งงานกันตอนไหนล่ะ

      ------------------------------------------------------------------------------------------------------

                หลังจากนั้น  คุณไพรก็ไม่ได้มาค้างที่บ้านผมอีกจนเวลาผันผ่านมาถึงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดของแม่ผม  จึงไม่น่าแปลกใจที่แม่ของผมจะดูสวยขึ้นกว่าแต่ก่อน  และผมจะได้ลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้

                คิน เสร็จหรือยังลูก

                ครับแม่ ผมขานก่อนจะออกจากห้อง  และพบแม่ที่งามสง่าในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน

                แม่สวยจังเลยครับ

                ปากหวานน่ะเรา  คุณไพรก็อีกคน  เหมือนกันทั้งคู่

                โธ่  แม่  มันเป็นความจริงนะคร้าบ  ผมไม่ได้อำแม่นา

                แม่รู้...เอ้า  เราไปกันเถอะ  เดี๋ยวคุณไพรเขาจะคอยนาน แม่ดึงแขนผมมาที่ประตูหน้าบ้าน  ที่ซึ่งรถยนต์คนเก่าแต่ยังคงความโก้หรูจอดอยู่  ส่วนด้านคนขับมีชายสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม  กางเกงสีดำ  ยืนหันหลังอยู่...โหย  แก่แล้วยังทำเท่อีกนะว่าที่คุณพ่อ

                ไพร  ฉันมาแล้วค่ะ แม่ผมร้องเรียก

                วินาทีที่เขาหันมา  ผมรู้สึกว่าลมหายใจขาดห้วงไปครู่หนึ่ง  ภาพเบื้องหน้าผมไม่ใช่ชายแก่หน้าตาเซ่อ ๆ สวมแว่นหนาเตอะที่ผมเคยรู้จักอีกต่อไป  แต่เขาในตอนนี้ดูหนุ่มกว่า  ดูดีกว่าแต่ก่อน  ผมที่เคยเป็นสีเทาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท  แว่นที่เคยใส่บัดนี้หายไป  ทำให้ใบหน้าเขาอ่อนกว่าอายุและหล่อเหลาถึงขั้นทำให้แม่กับผมอึ้งไป 5 วินาที

                โอเค  เราไปกันเถอะ เขาบอกด้วยรอยยิ้ม  ที่ทำให้ผมใจเต้นแรง...เฮ้ย !

                แล้วเราสามคนก็เดินทางออกจากบ้าน  แม่ถามคุณไพรในเรื่องต่าง ๆ ที่เขาเปลี่ยนแปลงไป  เขาได้แต่บอกว่า  ถึงที่นั่นแล้วจะรู้  ผมคาดเดาโดยราง ๆ ว่าเขาจะต้องมีอะไรมาทำให้แม่ประหลาดใจแน่ ๆ  ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่ดี

                ...เฮ้อ  อยากให้เกิดกับผมบ้างจัง...เฮ้ย ๆ แกเพี้ยนไปแล้วเหรอวะไอ้คิน...

                ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติเมื่อรู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรบ้า ๆ บอ ๆ รวมทั้งอาการใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อรถของเราได้มาถึงห้างเมเจอร์ซินิเพล็กซ์ปิ่นเกล้า  คุณไพรเดินเคียงคู่กับแม่ผม  ส่วนผมขอเดินตามหลังเพราะไม่อยากขัดความสุขของพวกเขา  อีกอย่างหนึ่งคือ  เพื่อซ่อนอาการบ้า ๆ ที่ไม่มีสาเหตุของผมเอง

                ร้านอาหารที่คุณไพรพาแม่กับผมเข้านั้นเป็นร้านที่ทำให้ผมดีใจมาก  เพราะมันคือโออิชิเอ็กซ์เพรสที่ผมใฝ่ฝันจะมากินแต่ยังไม่มีโอกาสเสียที  ภายในร้านดูวุ่นวาย  แต่มันไม่เป็นอุปสรรคของผมหรอก  หากผมได้ที่นั่งผมจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าให้หายอยากเลย

                ไม่นานเกินรอ  เราสามคนก็ได้เข้าไป  ผมตรงไปยังถาดปลาดิบ  แม่ผมเลือกซูชิอยู่ข้าง ๆ ส่วนคุณไพร...หายไปไหนไม่รู้  แต่พอเลือกอาหารเสร็จ  เขาได้มานั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมพิซซาซูชิที่เป็นอาหารชนิดใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทางร้านแล้ว...ไปตักมาตอนไหนกัน  ไวจริง ๆ

                ไพรคะ  คุณไปไหนมา  ทำไมฉันไม่เห็นคุณเลย

                ผมก็ตักอาหารตอนที่คุณเลือกจานอยู่น่ะสิที่รัก

                ...เอ้า  หวานกันเข้าไป...

                คุณลองทานนี่ดูสิ  ผมเห็นว่ารสชาติน่าจะดีเลยตักมา คุณไพรบอก  ก่อนจะคีบพิซซาซูชิให้แม่ผมอันหนึ่ง  ซึ่งรูปร่างของมันดูแปลก ๆ อย่างไรชอบกลเมื่อเทียบกับชิ้นอื่น  แม่ผมก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน  เธอเลยใช้ตะเกียบคีบด้านหน้าออก  และพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุด  เพราะที่ซ่อนภายในซูชิก้อนนั้นคือแหวนเพชรวงเล็ก ๆ วงหนึ่ง  ที่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนกับแววตาของพวกเขาทั้งสอง

                ชล...แต่งงานกับผมนะ

                แม่ผมยิ้มอย่างเขิน ๆ ก่อนจะตอบว่า

                ค่ะ  ถ้าลูกชายฉันอนุญาต

                แม่ผมหันมาหาผมราวกับขอความคิดเห็น  ผมพยักหน้าให้  คุณไพรยิ้มออกมา  ทำให้ผมรีบก้มหน้าทำเป็นทานอาหารเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึก

                ...ทำไมเห็นเขายิ้มแล้วผมต้องมีอาการร้อน ๆ หน้าด้วยนะ...

                อ้า  เลยเวลามาสิบห้านาทีแล้ว  เราทานกันดีกว่า คุณไพรบอก  แล้วเราก็ลงมือทานอาหาร  ระหว่างที่ทานเขาก็ชำเลืองมองแม่ผมเป็นระยะ  ส่วนผมเองก็ชำเลืองมองเขาเป็นระยะเหมือนกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว

                ...เวลากินยังดูดี  คนอะไรไม่รู้น่ารักชะมัด...เฮ้ย ๆๆ ...คิดอะไรอีกแล้วเนี่ยผม...

                หลังจากมื้ออาหารแสนอร่อยมื้อนั้น  เราได้เดินทางกลับบ้าน  เพราะผมมีนัดกับไอ้เจ้าลมเกี่ยวกับโครงงานสิ่งประดิษฐ์ตัวใหม่ที่กำลังพัฒนากันอยู่ตอนบ่ายนี้  ผมหลับอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะทานเข้าไปมาก  ประมาณว่าปลาดิบหกจาน  ซูชิสองจาน  หัวแซลมอนต้มซีอิ๊วสองถ้วย  ซุปเต้าเจี้ยวสองถ้วย  ซึ่งสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาผมไม่เคยทานมากขนาดนี้มาก่อนเลย  และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอิ่มนอกจากอาหารคือ  สีหน้า ท่าทาง  และบุคลิกของคุณไพรที่มีแรงดึงดูดต่อผมอย่างประหลาด

                ...ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย  ใครก็ได้ช่วยตอบผมที...

                คิน  ถึงแล้วลูก  ตื่นได้แล้วจ้ะ

                หือ ผมลืมตาตื่นอย่างสะลึมสะลือ

                เขาคงเพลียเพราะกินเยอะน่ะ...ตื่นได้แล้วไอ้หนู

                ผมค่อย ๆ เลื้อยออกจากรถมายืนพิงกำแพงด้วยความง่วงและอิ่ม  พลางคิดว่าผมไม่น่าบ้ากินเข้าไปเยอะขนาดนี้เลย  แม่กับคุณไพรเข้ามาพยุงตัวผมเข้าบ้านด้วยความเป็นห่วง  พอเข้ามาได้ผมก็ล้มแผละบนโซฟาและหลับไปอีกรอบเพื่อข่มความทรมานจากอาหารไม่ย่อย  สิ่งหนึ่งที่จำได้ก่อนที่จะค่อย ๆ หลับไปคือสัมผัสอันอบอุ่นที่ลูบไปตามศีรษะของผมที่ทำให้ผมรู้สึกสบายขึ้นมาก

                ...ใครกันนะ  คุณไพรหรือเปล่า ...ว้ากกกกก...ไอ้บ้าคิน  แกเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย...

                ผมนอนกระสับกระส่าย  รู้สึกสับสนไปหมดที่คิดอะไรมันก็คิดถึงแต่เขา  พลันผมคิดไปถึงคำพูดของพี่รหัสที่อยู่ชมรมสีม่วงตอนที่ผมแกล้งถามเรื่องความรักของเขาว่า

                ตอนนั้นก็ยังเป็นปกติอยู่เรื่อยมา  แต่พอพบเขาถึงรู้สึกใจเต้นแรง  ชอบมองเขาบ่อย ๆ ยามคิดอะไรก็คิดถึงแต่เขา  ช่วงนั้นรู้สึกกลัว  กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องผิด  กลัวว่าคนอื่นไม่ยอมรับรวมทั้งเขา  แต่ก็พ้นจากตรงนั้นมาได้  ทุกวันนี้เราคบกันอยู่  และมีความสุขมาก

                ผมเกิดอาการใจสั่นขึ้นมาทันที  หรือว่าผมจะเป็นเหมือนพี่รหัสนะ  ถ้าเป็นอย่างนั้นก็นับว่าเป็นฝันดีและฝันร้ายของผมเลยล่ะ  ฝันดีในเรื่องที่ผมได้รู้จักกับความรักครั้งแรก  ส่วนฝันร้ายคือรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน

                ...อ้ากกกกก...มันเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่วะนี่...ไม่นะ...ไม่...

                คิน  คินโว้ย !”

                น้ำเสียงคุ้นหูปลุกผมให้ตื่นขึ้น  ผมสะดุ้ง  มองไปรอบๆ ก็เห็นไอ้เจ้าลมนั่งอยู่ข้างๆ

                แกเป็นอะไรเปล่าวะ  เมื่อกี้แกร้องเสียงหลงอย่างกับควายถูกเชือดเล่นเอาข้าตกใจหมด

                ผมลูบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ  ถอนหายใจ  ก่อนจะตอบมันว่า

                ข้าแค่ฝันร้ายว่ะแก  ไม่ได้เป็นอะไรมาก

                ลมถอนหายใจด้วยความโล่งอก  แววตามันแสดงความห่วงใย

                เออ ๆ งั้นข้าก็หมดห่วง  เอ้า  ข้ามีสับปะรดมาฝากแกด้วยว่ะ  เมื่อกลางวันแม่แกบอกว่าแกกินเยอะ  มันจะได้ช่วยย่อย

                เออ  ขอบใจว่ะ  ผมตอบก่อนรับถุงสับปะรดมากินบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย  แล้วแม่ข้าล่ะ

                อ๋อ  คุณชลบอกว่าจะไปดูชุดแต่งงานและก็ไปเยี่ยมฝ่ายพ่อแม่คุณไพรน่ะ  กลับสักทุ่มนึงได้

                ผมพยักหน้า  และทานสับปะรดอีกชิ้น

                เอ่อ...ลม

                ไรวะ มันทำหน้าฉงน

                แกรับได้ไหมวะ  ถ้าข้าบอกว่าข้า...เอ่อ...เป็น...เอ่อ...อายโว้ย !!!”

                เจ้าน้องชายแกมันเป็นอะไรวะแกถึงอายที่จะบอก

                ทะลึ่ง !  ไม่ใช่อย่างงั้นโว้ย  แต่ว่าข้า...ข้าดันชอบผู้ชายน่ะสิ...แกรู้แล้วอย่าไปบอกใครนะโว้ย

                เอาละเว้ย...เพื่อนข้าเข้าชมรมสีม่วงไปแล้ว...ตกลง  ข้าไม่บอกใครทั้งนั้นแหละว่ะ  ว่าแต่แกแอบชอบใครวะ

                หะ...แกอยากรู้หรือวะ...โอ๊ย...อาย ๆๆ...ก็ได้วะ...คุณไพร

                ลมชะงักไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะซักผมต่อ

                ว่าที่พ่อแกน่ะเหรอ

                เออสิ...แล้วข้าควรจะทำไงดีเนี่ย...ข้าไม่อยากเป็นมือที่สามของแม่ข้านะเว้ย

                ลมทำหน้าครุ่นคิด

                ตอบยากแฮะ...เอาเป็นว่าแกอย่าไปทำอะไรให้เขาทั้งสองเสียหายแล้วกัน  ส่วนตอนนี้เรามาว่ากันเรื่องโครงงานดีกว่า

                เออ ๆ จริงของแก...ว่าแต่แกรับได้กับเรื่องนี้แน่นะ

                ล้านเปอร์เซ็นต์เว้ย  เพื่อนเพศไหนข้ารับได้หมด

                ผมต้องขอบคุณเจ้าเพื่อนคนนี้จริง ๆ ที่มันยอมรับผม  ผมจึงทำงานได้อย่างสบายใจ  แต่ลึกๆ แล้วผมก็ปวดใจอยู่เหมือนกันที่แอบชอบคนรักของแม่ตัวเอง...ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างมหันต์  ยิ่งกำหนดการวิวาห์มาใกล้เท่าไรผมก็ยิ่งเจ็บปวด  เพราะนั่นหมายความว่าผมกำลังหลงรักพ่อของตัวเอง !

                เฮ้ย  คิน  แกเหม่ออะไรอยู่วะ

                ข้าก็ดูแบบแปลนอยู่น่ะสิวะ ผมตอบไปทั้ง ๆที่ใจเลื่อนลอย

                แต่ข้าว่าแกมองเพดานมากกว่านะ...แล้วแกร่างอะไรอยู่วะเนี่ย

                ข้าก็คำนวณอยู่ว่ามันต้องใช้สกรูขนาดเท่าไหร่ไง

                เหรอ...เหมือนแกวาดอักษรมายาอยู่นะ...ยึกยือเชียว

                เฮ้ย !

                ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อมองกระดาษในมือ  เพราะปรากฏเป็นรอยดินสอยึกยือเต็มหน้ากระดาษ  ผมคว้ายางลบมาลบออกอย่างระมัดระวังไม่ให้แผนการทำงานที่อุตส่าห์ระดมสมองคิดกันเมื่อครู่ต้องสูญสลายหายไปด้วย

                ...ดีนะที่เป็นดินสอ   ไม่งั้นได้นั่งคิดกันใหม่อีกรอบ...

                โทษทีว่ะแก  ข้ามีเรื่องกังวลใจนิดหน่อย  แต่ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ  ข้าจัดการได้

                ไม่เป็นไรว่ะ  ข้าเข้าใจว่าแกรู้สึกอย่างไร...เออ  ไอ้โครงงานนี่นำเสนอวันไหน

                วันจันทร์หน้า

                วันนี้วันอะไร

                วันพฤหัสฯ...เออ

                ...

                เราสองคนมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน...และ...

                ชิบ !!!  รูปเล่มยังไม่ได้ทำเลย

                                                      -------------------------------

                เราสองคนเร่งมือทำงานโดยไม่หยุดพักจนกระทั่งเครื่องจักรกลที่ประดิษฐ์ขึ้นเสร็จเรียบร้อย  และทดลองใช้แล้วได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ  ผมกับเจ้าลมก็ลงไปนอนแผ่หราบนพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน

                แกไม่ต้องกังวลมากนะเว้ย  ค่อย ๆ คิดไป  แล้วจะเจอทางออก

                เออ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเริ่มทำรูปเล่มกันดีกว่าว่ะ  นี่แกกลับตอนไหน

                ห้าโมงครึ่ง

                ตอนนี้ห้าโมงครึ่งแล้วว่ะ

                ลมผุดลุกขึ้นทันที  ผมตามไปส่งมันหน้าบ้าน  มันโบกไม้โบกมือให้ก่อนจะเดินจากไป  ผมแอบสังเกตเห็นมันเดินคอตกเหมือนกับผิดหวังอะไรบางเรื่อง...ตกลงมันยอมรับผมหรือเปล่านะ

                                                      -------------------------------------

                ผมนั่งดูแบบแปลนของเครื่องทำความร้อนขนาดพกพาที่ประดิษฐ์ขึ้นเพลิน ๆ หลังจากนำเครื่องของจริงไปเก็บไว้ในห้องผมแล้ว  พลิกไปพลิกมาก็เห็นกลอนหรืออะไรสักอย่างอยู่ที่มุมขวาล่างด้านหลังของกระดาษ  แต่ตัวเล็กมาก  ผมเลยใช้แว่นขยายส่องดู...และก็เจอ

                I look at the window

      Wanna know who you’re thinking to

      No  matter  how I feel blue

      I’ll stand beside  you always

                อังกฤษ...อังกฤษอีกแล้ว  ผมยังไม่คล่องอังกฤษเลย  แล้วผมจะแปลมันออกไหมเนี่ย

                ...ค่อยๆ คิดไป  แล้วจะเจอทางออก...เสียงของเจ้าลมก้องอยู่ในหู

                ผมรวบรวมสมาธิ  นึกถึงเรื่องที่เคยเรียนกับคุณไพร  แล้วหยิบดินสอขึ้นมาแปลกลอนภาษาอังกฤษที่อยู่บนกระดาษแผ่นนี้

                ฉันมองที่หน้าต่าง

                พลางคิดว่าเธอกำลังคิดถึงใคร

                ไม่ว่าอย่างไรที่ฉันรู้สึกเศร้า

                ฉันจะเฝ้าอยู่เคียงข้างเธอ

                ...โอย...หวานได้ใจ...เจ้าลมมันคิดถึงสาวที่ไหนวะ...

                ผมคิดอย่างขำ ๆ คิดไปคิดมามันก็เหมือนความรู้สึกของผม  ที่ได้แต่คิดว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้  แม้จะรู้สึกหม่นหมองเพราะความรักของผมมันเป็นไปไม่ได้  แต่ก็สุขใจที่ได้รักและเห็นคนที่ผมรักมีความสุขในรูปแบบของเขา

                ...ความรักของผมก็คงเหมือนกับก้อนเมฆที่ได้แต่ลอยอยู่บนฟ้า  ไม่มีทางได้มาสัมผัสกับผืนป่านอกจากจะกลั่นตัวมาเป็นฝนเสียก่อน  แต่หากนั่นเป็นสิ่งที่ก้อนเมฆสามารถทำให้กับป่าไม้ได้...

                แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมมองข้ามไปในตอนนี้...ใครบางคนก็รู้สึกเหมือนกับผมเช่นกัน

      -------------------------------------------------------------------------------------------------------

                เหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงวันจันทร์  วันที่เหตุการณ์ไม่คาดคิดทั้งหลายได้อุบัติขึ้น

                เย็นวันนี้คุณพ่อของผมติดธุระการสอน  จึงขับรถกลับมาส่งผมกับเจ้าลมที่บ้านไม่ได้ (คุณไพรแต่งงานกับแม่ผมเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว  เขาจึงได้สิทธิ์เป็นคุณพ่อของผม) ผมกับเจ้าลมจึงต้องเดินกลับกันเองเหมือนเก่า ซึ่งมันก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว  เราคุยกันเกี่ยวกับโครงงานของเราที่ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม  คุยกันไปคุยกันมาเจ้าลมมันก็บอกบางสิ่งที่ทำให้ผมอึ้ง

                คิน...ข้ารักแก

                เอ่อ... ผมเอ๋อรับประทานไปชั่วครู่ขณะมองแววตาที่เปี่ยมด้วยความรักของเจ้าเพื่อนยาก

                ถึงแกจะไม่ได้รักข้า  แต่ข้าก็จะอยู่เคียงข้างแกเสมอ เหมือนสายลมที่จะพัดเมฆไปทุกที่

                ผมนึกไปถึงกลอนบนกระดาษแบบแปลนแล้วใจหาย  วันนั้นผมไม่ได้เฉลียวใจเลยเรื่องที่ลมมันมีอาการแปลก ๆ ตอนกลับบ้าน  ก่อนที่ผมจะพบกลอนบทนั้น  เพราะสองสิ่งนี้มันฟ้องอย่างชัดเจนว่าเจ้าลมมันรู้สึกอย่างไรกับผม

                ...ผมควรจะรับหรือปฏิเสธความรักนี้ดี...

                พลันผมได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากล  ผมจึงสะกิดเจ้าลม  มันก็พยักหน้าเป็นเชิงรู้ด้วย  ผมแอบกดโทรศัพท์หมายเลข 191 เตรียมไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน  ส่วนเจ้าลมก็มองหาทางหนีทีไล่ในซอยนี้  ทันใดนั้นผมรู้สึกมีอะไรทิ่มเข้าที่หลัง  ตามมาด้วยเสียงอันน่ากลัว

                เฮ้ย  ไอ้น้อง  ส่งเงินมา  ไม่งั้นแกตาย

                ได้ครับ ๆ  พี่เอาไปเถอะ  แต่อย่าฆ่าพวกผมเลย ลมกับผมหยิบเงินส่งให้เจ้าโจรคนนั้นที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย

                ดีมากไอ้น้อง  พวกแกไปได้

                ผมกับเจ้าลมเดินย้อนกลับไป  ทำให้เจ้าโจรงุนงง

                คือว่าเราเดินเลยบ้านมาแล้วน่ะครับ  พึ่งนึกขึ้นได้ เจ้าลมแก้ต่างให้ก่อนจะพาผมเดินย้อนกลับขึ้นไปยังปากซอยอย่างรวดเร็ว  ผมก็ไม่ถามอะไรมันเพราะรู้ว่าลึกเข้าไปในซอยจะมีทางเชื่อมเล็ก ๆ มากมาย  ซึ่งเจ้าโจรคนนั้นอาจซุ่มพรรคพวกไว้อยู่  สังเกตได้จากการที่มันปล่อยเราสองคนแต่โดยง่าย  หากเข้าไปในซอยก็เท่ากับว่าเข้าไปในวงล้อมของพวกโจร  ซึ่งรับมือได้ยากกว่าถนนใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย รวมถึงป้อมตำรวจในระยะ 200 เมตร

                ผมไม่รอช้ากดโทรออก  ส่วนลมคอยระวังหลังให้  พอสายติดผมก็พูดว่าเราอยู่ซอยไหน  มีเรื่องเดือดร้อนอะไร  พลันมีเสียงปืนดังขึ้น  ผมหันกลับไปจึงพบว่ามีคนวิ่งตามหลังพวกเรา 6 คนพร้อมปืนในมือ

                คุณตำรวจ  คนร้ายพกอาวุธปืน  มี 6 คน  ตอนนี้พวกผมกำลังจะออกจากซอย  รีบมาด่วนครับผม

                ตกลง  ทางเราจะส่งกำลังไปใน 5 นาทีนี้

                ผมวางสายและพาลมวิ่งหนีโจรต่อ  แต่ทันใดนั้นมีเสียงปืนดังสนั่นพร้อมกับเจ้าลมที่ล้มทรุดลงไป

                ลม !!

                ข้าไม่เป็นไร ลมพูดพลางพยุงตัวขึ้นเนื่องจากถูกยิงเข้าที่ขาขวา

                ผมรีบเอาแขนมันคล้องคอ  แล้วพยุงออกจากซอยอย่างเต็มกำลังที่ผมมีอยู่ขณะที่พวกโจรวิ่งตามมาติด ๆ ผมร้องขอความช่วยเหลือ  แต่ขณะนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วจึงไม่มีใครออกมาช่วย  โจรพวกนั้นเลยไล่ตามพวกเราทันและตะครุบเท้าผมไว้  ผมเสียหลักล้มลง  เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าจมูกผมแตก  ส่วนเจ้าลมคางแตก

                ไอ้เขียว  มึงหาวิธีจับให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ  สินค้ากำไรงามนะเว้ย

                ...โจรพวกนี้ความจริงเป็นแก๊งค์ค้ามนุษย์นี่...ตำรวจมาช้าจริง...

                มึงก็เหมือนกันแหละไอ้เขี้ยว  เล่นยิงแม่งเลย

                เฮ้ย ๆๆ พวกมึงไม่ต้องทะเลาะกัน  มัวแต่ยืนเถียงกันตรงนี้เดี๋ยวตำรวจได้แห่กันมาพอดี...ไอ้เด็กสองคนนี้มันแสบ  มันโทรเรียกตำรวจแล้วหัวหน้าแก๊งค์บอกกับลูกน้อง

                ผมกับลมถูกดึงให้ลุกขึ้น  หัวหน้าแก๊งค์เดินเข้ามาเชยคางพวกเราขึ้นแล้วยิ้มอย่างพอใจ

                หน้าตาพวกแกดีใช้ได้เลยนะนี่  แบบนี้เสี่ยเส็งคงให้เราเป็นล้าน

                ผมพยายามระงับอารมณ์  แล้วคิดหาวิธีหนี  และก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่รหัสได้ให้ของอย่างหนึ่งกับผมไว้สำหรับป้องกันตัว  ผมจึงกระซิบบอกลมเกี่ยวกับแผนที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัว  ลมพยักหน้าด้วยท่าทางอ่อนเพลียเพราะเสียเลือด  ผมกำของนั้นไว้ในมือในลักษณะเตรียมพร้อม  ก่อนปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ

                เออ  พี่ครับ  ไหน ๆ พวกผมก็ต้องไปพบกับเสี่ยอะไรของพี่แล้ว  ขอผมเตรียมตัวก่อนนะครับ  เสี่ยจะได้ประทับใจและให้เงินพวกพี่มากกว่าเดิม  และก็อย่าใช้ปืนนะครับถ้าไม่อยากขาดทุน

                หัวหน้าแก๊งค์ตกลง  และสั่งให้ลูกน้องเก็บปืน  ผมหยิบของนั้นขึ้นมา  และแสดงให้เห็นว่าเป็นขวดน้ำหอม  พอพวกคนร้ายเผลอผมก็ฉีดพ่นเข้าที่ตาของพวกมันและพาลมฝ่าวงล้อมของพวกคนร้ายที่ส่งเสียงโหยหวนด้วยความปวดแสบปวดร้อน

                แกใช้อะไรฉีดพวกมันวะ ลมกระซิบถาม

                สเปรย์พริกว่ะ พริกขี้หนูด้วย  รุ่นพี่ให้มาตอนเสนอโครงงาน  ถูกเข้าไปล่ะแสบโคตร  แต่ไม่ถึงกับทำให้ตาบอด  ออกฤทธิ์ประมาณสิบห้านาทีพอให้เรามีเวลาหนีทัน

                ข้าว่าให้ออกฤทธิ์นานกว่านี้หน่อยดีกว่า...ข้าจะไม่ไหวแล้วลมพูดอย่างอ่อนแรง

                ข้าเชื่อว่าแกต้องทำได้...แกบอกว่าจะอยู่เคียงข้างข้าเสมอไง

                ลมยิ้ม  และดูมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง  จากที่ผมพยุงมันก็กลายเป็นมันป้องกันข้างหลังให้ผม  แสงไฟสว่างวาบขึ้นหน้าพวกเรา  ปรากฏเป็นรถตำรวจและรถของพ่อผม

                คนร้าย 6 คนอยู่ข้างในครับ  ตอนนี้ยังไม่หนีไปที่อื่น ผมรายงานสถานการณ์

                คนร้ายอยู่ข้างใน 6 คน  กระจายกำลัง

                ตำรวจเจ็ดนายวิ่งผ่านผมไป  สักครู่หนึ่งก็มีเสียงยิงปืนต่อสู้กันดังสนั่น และเสียงโอดครวญของผู้ที่ถูกยิงเป็นระยะ

                ไอ้หนูหาที่หลบเร็ว พ่อผมตะโกนเรียก  และดึงตัวผมกับลมไปหลบอยู่ที่ท้ายรถ  เสียงปืนยังดังขึ้นต่อเนื่อง  แต่แล้วก็หยุดลงเมื่อตำรวจจับคนร้ายได้ 4 คน อีก2 คนถูกตำรวจยิงตาย  พร้อมๆกับการมาถึงของรถพยาบาล

                ปลอดภัยใช่ไหมลูก พ่อผมถาม  ผมพยักหน้าและยิ้มอย่างเป็นสุขที่ได้พบพ่อ  เราสวมกอดซึ่งกันและกัน  พลันผมรู้สึกเปียก ๆ ที่มือ  และได้ยินเสียงหายใจหอบถี่ของพ่อ  ผมชักสังหรณ์ใจ  เมื่อยกมือขึ้นมาดูก็ปรากฏของเหลวสีแดงฉานเต็มฝ่ามือของผม  ผมกรีดร้องเรียกหมอปานคลุ้มคลั่ง  บุรุษพยาบาลรีบวิ่งมาหาและทำการปฐมพยาบาลก่อนจะยกขึ้นเตียงเข็นพร้อมกับรีบให้เลือด  และพาผมกับลมขึ้นรถตรงไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

                เจ้าลมกับพ่อผมนอนคู่กัน  แต่ละคนมีสีหน้าซีดเซียว  ผมได้แต่อธิษฐานขอให้พวกเขาทั้งสองปลอดภัยพ้นขีดอันตราย  เมื่อถึงโรงพยาบาลผมกับลมก็ถูกส่งตรงไปที่ห้องผ่าตัดเพราะอาการไม่ถึงแก่ชีวิต  ส่วนพ่อผมถูกส่งไปที่ห้องไอซียูเพราะถูกยิงตรงที่สำคัญ  ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในห้องผ่าตัดและกลิ่นยา  ผมได้หลับไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก  มารู้สึกตัวตอนที่พักฟื้นอยู่ในห้องพัก และมีแม่ผมอยู่ข้าง ๆ เธอมีสีหน้าแช่มชื่น แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏแววตาโศกเศร้า  ผมถามความจริงจากเธอและก็ได้คำตอบที่เหมือนฝันร้ายที่สุดในชีวิตผม

      คุณหมอพยายามช่วยพ่อแล้ว  แต่พ่อเสียเลือดมากเพราะเป็นฮีโมฟิเลีย* ตอนนี้พ่อกำลังหลับอยู่จ้ะ  ฮือๆ

      ดั่งโลกทั้งใบแตกสลาย  ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกว่าคอตีบตันจนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้  ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างทำนบพัง  

      ...คำอธิษฐานของผมทำไมไม่เป็นผลต่อคนที่ผมรักเลย...

      หากย้อนเวลากลับไปได้  ผมจะใช้เวลาอยู่กับเขาให้คุ้มค่ากว่านี้  และดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดีที่สุดเท่าที่คนแอบรักอย่างผมจะทำได้

       

      *โรคทางพันธุกรรม  ผู้ป่วยจะมีเกล็ดเลือดในน้ำเลือดน้อยกว่าคนปกติ  เมื่อเกิดบาดแผลทำให้เสียเลือดมากและห้ามเลือดได้ยาก

      ----------------------------------------------

      ผมมองรูปถ่ายรวมของงานแต่งงานแม่ผมกับพ่อคนที่สอง  ก่อนจะยิ้มอย่างเป็นสุขหลังงานวิจัยที่หนักหนาสาหัส  ตอนนี้ผมได้ทำสิ่งดี ๆ ให้กับพ่อทั้งสองคนและแม่ผมแล้ว  พวกท่านคงภูมิใจที่ผมมีการศึกษาสูงและมีอนาคตที่ดี  ส่วนเรื่องของหัวใจผมก็ไม่ต้องแอบรักใครเพียงข้างเดียวอีกแล้ว  เพราะตอนนี้ผมเป็นฝั่งเป็นฝาเรียบร้อยกับอดีตเพื่อนสนิทที่แอบรักผมมาตั้งแต่อยู่ชั้นม.4

      ผมคิดอะไรเพลิน ๆ ไม่เท่าไหร่  จู่ ๆ ก็มีแขนคู่หนึ่งโอบร่างผมไว้ และตามมาด้วยริมฝีปากที่ซอกไซ้ไปทั่วลำคอของผม

      ด็อกเตอร์วายุ  คุณมาตอนไหนครับเนี่ย ผมถามขณะที่ถูกไซ้ไปตามซอกคอ

      ก็มาตอนที่คุณเผลอนั่นแหละครับด็อกเตอร์เมฆินทร์   โถ...เรียกซะเต็มยศเลยนะภรรยาผม

      ...กวนบาทาดีแท้สามีผม...

      ทราบแล้วคร้าบๆ สามีของผม  เออ... ได้ข่าวว่ามะรืนนี้คุณจะไปดูงานที่โตเกียวนี่

      ลมอมยิ้มอย่างยียวนแทนคำตอบ

      เฮ้อ  คุณไปดูงานอย่างเดียวแน่เหรอ  เพราะผมได้ยินมาว่าหนุ่ม ๆ ที่นั่นหน้าตาดีเอาเรื่อง

      ลมยิ่งกอดผมแน่นกว่าเดิมหลังจากที่ผมหยอดลูกหึงให้มันหนึ่งลูก

      ดูงานอย่างเดียวจริง ๆ คร้าบที่รัก  อีกอย่างหนึ่ง  ต่อให้ผมเหล่หนุ่มทั่วพิภพจบแดนก็ไม่มีใครเทียบคุณได้   ไม่เชื่อผมจะให้ค่าเครื่องบินคุณสำหรับตามไปเหยียบผมถึงที่เลยเอ้า

      ผมซบหน้ากับท่อนแขนมันด้วยความเขิน...ผมจะเป็นเบาหวานก็เพราะอย่างนี้แหละครับ...ไอ้คุณสามีเล่นให้ C12H 22O11(น้ำตาลทราย) กับผมทุกวัน  แต่ถึงอย่างไรผมก็เต็มใจรับครับ

      คุณไม่ต้องให้ค่าเครื่องบินผมหรอก  เปลืองเงินเปล่า ๆ เพราะผมก็ได้รับจดหมายจากศาสตราจารย์วิชัยเหมือนกัน ผมบอกมันด้วยรอยยิ้มที่แสดงเป็นนัย ๆ ว่าผมกับมันได้ไปดูงานที่โตเกียวด้วยกัน  ลมยิ้มตอบด้วยแววตาวับวาว

      ได้ยินข่าวดีแบบนี้ต้องฉลองหน่อยแล้ว  คุณอยากทานอะไร  ผมยินดีพาไปครับผม

      ต้มยำกุ้งบ้านชลนภา ผมตอบอย่างคิดถึงรสมือของแม่

      ตกลง...แล้วรับขนมหวานของผมด้วยไหมครับ ลมกระซิบข้างหูพร้อมกับลูบไล้ต้นขาผมเบาๆ ทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง

      รับครับ ผมกระซิบตอบก่อนจะบิดร่างออกอย่างเขินอายพร้อมกับลุกขึ้นปิดไฟ/พัดลมในห้องปฏิบัติการ  ตอนนี้ผมไม่คิดถึงอะไรแล้ว  นอกจากมื้อเย็นฝีมือของแม่และ...ขนมหวานจากสามีบนที่นอน

      -------------------------------------------------------------------------------------------------------

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×